เมื่อลูกน้อยนอนกรน อาจเป็นสัญญาณเสี่ยงต่อมอะดีนอยด์โต
ปัญหานอนกรนในเด็กเกิดจากสาเหตุอะไร ?
ปัญหาอาการนอนกรนในเด็ก เป็นปัญหาที่พ่อแม่หลายคนมองข้าม เพราะคิดว่าไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่ความจริงอาการนอนกรนในเด็กเป็นปัญหาที่อันตรายต่อสุขภาพอาจส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนใหญ่ภาวะนอนกรนจะพบบ่อยในช่วงอายุก่อนวัยเรียนหรือในช่วงวัยอนุบาล ในเด็กที่มีอายุระหว่าง 2 – 6 ปี เนื่องจากเด็กวัยนี้จะมีต่อมทอนซิล และต่อมอะดีนอยด์ ที่ทำให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจจนเกิดเสียงกรนที่อาจเกิดเป็นภาวะอันตราย ส่วนใหญ่ มักมีสาเหตุหลักจากต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โตจากการอักเสบซ้ำ ๆของอาการภูมิแพ้หรือเป็นหวัดบ่อย ๆ
ต่อมอะดีนอยด์คืออะไร ?
ต่อมอะดีนอยด์ (adenoid) เป็นต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ในส่วนหลังของโพรงจมูก (nasopharynx) มีโครงสร้างภายในใกล้เคียงกับต่อมทอนซิล (tonsils) มีหน้าที่ทำลายเชื้อโรค และผลิตเซลล์สร้างภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น โรคคออักเสบ โรคโพรงไซนัสอักเสบ โรคหูชั้นกลางอักเสบ หรือโรคหลอดลมอักเสบ เป็นต้น ต่อมอดีนอยด์จะทำหน้าที่มากในช่วงวัยเด็ก (1-10 ปี) และจะทำหน้าที่น้อยลงเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น หลังจากนั้นจะลดขนาดลง และไม่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคในผู้ใหญ่
อาการของภาวะทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้นในเด็ก
เป็นการอุดกั้นของทางเดินหายใจสามารถเกิดได้จากความผิดปกติตั้งแต่บริเวณ หลังโพรงจมูก (nasal cavity) เหนือกล่องเสียงขึ้นไปได้แก่ คอหลังช่องปาก (and hypopharynx) และบริเวณเหนือกล่องเสียง (supraglottic)
ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนเป็นภาวะที่พบบ่อยในเด็ก หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้ เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ทั้งต่อการเจริญเติบโต การหายใจ รวมถึงทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจจากขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ตามมาได้ ทำให้มีอาการดังนี้
- นอนหายใจมีเสียงค่อนข้างดัง- มีอาการนอนกรน
- มักจะนอนอ้าปากหายใจ
- หากเป็นมากเด็กบางรายอาจจะหยุดหายใจขณะหลับเป็นช่วงๆ
- บางรายมีอาการปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ
- หรือมีพฤติกรรมซุกซนก้าวร้าว ขาดสมาธิในการเรียน ผลการเรียนแย่ลง และเติบโตช้ากว่าวัย
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) เป็นภาวะความผิดปกติอย่างหนึ่งของการหายใจที่เกิดขึ้นระหว่างนอนหลับ เป็นอันตรายและอาจทำให้เกิดความผิดปกติอื่นตามมาจนถึงเสียชีวิตได้
การหยุดหายใจขณะหลับทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน มีผลต่อการทำงานของสมองและพัฒนาการ ทำให้เด็กไม่มีสมาธิในการเรียน และการทำกิจกรรมอื่นๆในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการเจริญเติบโต และพฤติกรรมการรับประทานอาหาร รวมถึงทำให้หัวใจทำงานหนัก จนถึงขั้นภาวะหัวใจล้มเหลวได้ การหยุดหายใจขณะหลับยังทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียค้างอยู่ภายในร่างกาย ทำให้เด็กมีอาการปวดศีรษะในตอนเช้าได้
แนวทางการรักษา
1. การปรับพฤติกรรมที่เสี่ยง ดูแลและปฏิบัติตัวเบื้องต้น
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ปรับท่านอนเป็นท่านอนตะแคงจะช่วยให้อาการลดลง
- นอนให้ตรงเวลา หลีกเลี่ยงการอดนอน พักผ่อนให้เพียงพอในแต่ล่ะวัน
- หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ มลภาวะ และสารกระตุ้นภูมิแพ้ต่างๆ
2. รักษาปัจจัยเสี่ยงหรือโรคร่วมที่เป็นสาเหตุ เช่น
- โรคเยื่อบุจมูก อักเสบจากภูมิแพ้
- การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น โพรงจมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ ทอมซิลอักเสบ
- ต่อมทอนซิล หรือต่อมอะดีนอยด์โต
3. การใช้เครื่องช่วยสร้างแรงดันบวกในทางเดินหายใจ
(Positive airway pressure therapy, PAP) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง เพื่อรักษาภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ
4. การใช้เครื่องมือในช่องปาก / อุปกรณ์ทางทันตกรรม
วิธีนี้ได้ผลดีในเด็กบางรายที่มีอาการไม่รุนแรง
5. การรักษาด้วยการผ่าตัด
มีการผ่าตัดได้หลายวิธี ขึ้นกับระดับความรุนแรงและอวัยวะที่ทำให้เกิดการอุดกั้นขณะนอนหลับ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจแต่หากเราไม่แน่ใจว่าเรามีอาการ ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) หรือไม่ก็สามารถทำการวินิจฉัยก่อนได้
การตรวจสุขภาพการนอนหลับ และภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ (Sleep Test / Polysomnography)
เป็นการตรวจวิเคราะห์ระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายขณะหลับเพื่อหาสาเหตุของโรคและความผิดปกติระหว่างการนอนหลับ โดยจะติดตั้งอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อตรวจจับและบันทึกการทำงานของระบบต่าง ๆ เช่น ระบบการหายใจ, ระดับออกซิเจนในเลือด การทำงานของคลื่นไฟฟ้าสมอง คลื่นไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ เป็นต้น ซึ่งเป็นตัวช่วยในการหาความผิดปกติของร่างกายขณะนอนหลับ
การผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์ จะเกิดผลเสียต่อเด็กไหม ?
คำถามนี้คุณพ่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลว่าการผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์จะเกิดผลเสียต่อตัวเด็กหรือไม่ ในการผ่าตัดส่วนนี้จะไม่เกิดผลเสียด้านความสามารถของร่างกาย ในการกำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายเนื่องจากร่างกายนั้นมีระบบต่อมน้ำเหลืองอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถทำงานทดแทนต่อมอะดีนอยด์ที่ถูกตัดออกไปได้ รวมถึงบทบาทของต่อมอะดีนอยด์ก็จะลดน้อยลงและต่อมจะมีขนาดเล็กลงในเด็กที่อายุมากกว่า 5-7 ปี เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลหากต้องเข้ารับการรักษา
สนับสนุนข้อมูลโดย : พญ.อภิสร์ญา พิสิฐตระกูลพร แพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิก
ศูนย์การแพทย์ : ศูนย์หู คอ จมูก โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1745 ต่อ ศูนย์หู คอ จมูก